Friday, November 27, 2009

Vang Comp’s Shotgun Wizardry











Vang Comp’s Shotgun Wizardry

นาย Clint Smith ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการปรับแต่งปืนลูกซองไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่าไม่มีปืนใดที่ดีไปกว่าปืนลูกซองในการยิงระยะใกล้ (ภายในห้องหรือระยะห่างเท่ารถสักคัน) เป็นหนึ่งในปืนไม่กี่ชนิดซึ่งหากยิงถูกเป้าหมายในระยะใกล้แล้วสามารถฉีกเป้าหมายออกเป็นชิ้นๆได้ทีเดียว

แม้ปืนลูกซองจะได้รับการยอมรับในกลุ่มผู้รักษากฎหมาย แต่บางคนก็อาจไม่ชอบเนื่องจากแรงถีบที่หนักหน่วง กระสุนที่มีหลายรูปแบบ (กระสุนแต่ละแบบมีประโยชน์ต่างกัน จึงต้องใช้ความจำมากกว่าปืนชนิดอื่น) พานท้ายปืนที่อาจไม่เหมาะสม (ระยะห่างระหว่างไกปืนกับปลายพานท้ายปืนอาจไม่เหมาะกับบางคน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปืนถีบหนักขึ้น) ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ปืนลูกซองมักถูกวางไว้ในรถตำรวจมากกว่านำออกไปใช้

แต่ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาปืนลูกซองมีการพัฒนาไปมากจนนำไปสู่รูปแบบใหม่ของปืนลูกซองสำหรับใช้ในการป้องกันตัว (Defensive shotgun)

นาย Clint Smith รู้จักกับนาย Hans Vang (คนที่คิดระบบ Vang comp) มากกว่าสิบปีแต่เขาไม่เคยใช้ปืนลูกซองของนาย Hans Vang เลย จนกระทั้งวันหนึ่งเขาส่งปืนลูกซองเรมิงตัน 870 รุ่นเก่า (เป็นปืนระบบ Pump action ผู้ยิงต้องสาวกระโจมมือเองทุกครั้งที่ยิงเพื่อคัดปลอกกระสุนและบรรจุกระสุนใหม่เข้ารังเพลิง) ให้นาย Hans Vang ปรับปรุง เมื่อได้รับปืนกลับมาพบว่ามันกลายเป็นปืนที่ดีเยี่ยมทีเดียว

ปืนได้รับการดัดแปลงหลายอย่างตามมาตรฐานของ Hans spec มีการเจาะรูเพื่อลดแรงสะบัดของปืน (Vang comp) ที่ปลายลำกล้องปืน เปลี่ยนศูนย์หน้าเป็นแบบจุด (Front sight dot) ขนาดใหญ่ขึ้นและศูนย์หลังมีฐานที่แข็งแรงมากขึ้นและสามารถปรับระดับได้ ซึ่งจะใช้ได้ดีในการยิงในภาวะแสงต่ำและเป้าเคลื่อนที่ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ซึ่งตำรวจต้องเผชิญ มีรางติดอุปกรณ์เสริมที่กะโหลกปืน (Receiver) ได้ เช่น กล้องเล็ง นอกจากนั้นยังขยายหลอดบรรจุกระสุนให้ด้วย กระโจมมือติดราง 1913 type tri-rail ซึ่งสามารถนำศูนย์ไฟฉายของ Surefire X-300 มาติดได้ อีกทั้งติดแผ่นใส่กระสุนสำรองที่กะโหลกปืน (Sidesaddle) มาให้ด้วย และเปลี่ยนพานท้ายปืนให้สั้นลงเพื่อทำให้ยิงได้ดีขึ้น

การปรับปรุงปืนของนาย Vang นั้นอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ตำรวจซึ่งมีงบน้อยก็สามารถนำปืนเก่ามาทำได้โดยเสียค่าใช้จ่ายไม่มาก (หากไม่มีงบมากพอที่จะซื้อปืนใหม่)

ปืนลูกซองต่อสู้ หรือ ปืนลูกซองรณยุทธ์ (Tactical shotgun) ถือว่ามีคุณสมบัติเด่นที่สำคัญ 3 ประการ คือ

หนึ่ง อำนาจหยุดยั้งดีมากเมื่อทำการยิงถูกเป้าหมายในระยะใกล้ (ดีกว่าปืนสั้นทุกประเภทเมื่อใช้กระสุนที่เหมาะสม) โดยระยะหวังผลของกระสุนลูกปลายประมาณ 20 กว่าหลา (ขึ้นกับปืนและกระสุนที่ใช้)

สอง มีกระสุนให้เลือกใช้หลายแบบ ทั้งกระสุนลูกปรายและลูกโดดโดยแต่ละแบบมีหลายชนิด ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้หลายวัตถุประสงค์ทั้งกีฬายิงเป้า ต่อต้านบุคคล จนถึงล่าสัตว์ ทำให้สามารถเลือกกระสุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ เมื่อใช้กระสุนลูกปรายทำให้มีโอกาสยิงถูกเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

สาม เป็นปืนที่มีคุณสมบัติของปืนไรเฟิ่ล (Rifle) เมื่อใช้กระสุนลูกโดด (ระยะหวังผลไกลขึ้น และอาจใช้ทำลายกลอนประตูได้ด้วย)

ปัจจุบันมีกระสุนลูกซองที่มีแรงถีบน้อย (Low recoil หรือ Tactical buck shot) เพื่อทำให้สามารถยิงซ้ำได้เร็วขึ้น ซึ่งใช้ในกลุ่มผู้รักษากฎหมายเป็นส่วนใหญ่แต่ยังไม่มีใช้ในประเทศไทย ดังนั้นควรเลือกกระสุนแรงมาตรฐานไว้ก่อนหรือฐานต่ำ (Low base) เพื่อให้แรงถีบน้อยที่สุด ยิงซ้ำได้เร็วและสามารถคุมปืนได้ง่าย ส่วนอำนาจหยุดยั้งถือว่าเพียงพอสำหรับการต่อกรกับมนุษย์ เช่น กระสุน 12 เกจ (Gauge) OO Buck หรือ SG 9 เม็ดฐานต่ำ เป็นต้น

ปืนลูกซองต่อสู้ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน มักเป็นปืนระบบ Pump action เนื่องจากกลไกทำงานไม่ซับซ้อน โอกาสติดขัดยากสามารถยิงกับกระสุนแรงต่ำได้ โดยปืนมักใช้ยิงในระยะใกล้จึงควรมีลำกล้องไม่ยาวนักเพื่อความคล่องตัว เช่น 18 นิ้ว (ในอเมริกาห้ามใช้ปืนลำกล้องสั้นกว่า 18 นิ้ว เพราะประชาชนสามารถพกซ้อนได้ง่าย) มีโช๊ค (Choke) แบบ Cylinder หรือ Improved cylinder เพื่อสามารถใช้กระสุนลูกโดดได้ อาจมี Compensator ไม่ว่าจะเป็น Vang comp หรือ Cutts comp ก็ได้เพื่อลดการสะบัดของปากกระบอกปืน และมีแผ่นรองพานท้ายปืน (Recoil pad) ที่ดีจะช่วยให้ยิงได้นุ่มมือขึ้นไม่ถีบมากนัก นอกจากนั้นใช้กระสุนขนาด 12 เกจ ปลอกยาว 2 ¾ นิ้ว หรือ 3 นิ้ว ฐานต่ำ มักสามารถบรรจุกระสุนได้มาก เช่น 7 ถึง 8 นัด (หลอดบรรจุกระสุนที่ยาวผิดปกติมากๆมักใช้ในการแข่งขันยิงปืน ไม่เหมาะในการใช้ยิงต่อสู้เพราะขาดความคล่องตัว) อาจมีที่ใส่กระสุนสำรองซึ่งติดอยู่ที่กระโหลกปืนเสริม มีศูนย์หน้าและหลังที่แข็งแรงโดยศูนย์หลังมักเป็นศูนย์ไรเฟิ่ล (เพื่อสามารถใช้ศักยภาพของปืนได้สูงสุด) กระโจมมือควรสามารถติดศูนย์ไฟฉายได้เพื่อการยิงในภาวะแสงต่ำ (สถานการณ์ยิงต่อสู้จริงมักเกิดในภาวะแสงต่ำ)

ข้อจำกัดของปืนลูกซอง อาทิเช่น น้ำหนักของปืนที่มากกว่าปืนสั้นมากจึงไม่สามารถถือปืนไว้ได้นานนัก จำนวนกระสุนอาจน้อยกว่าปืนสั้นส่วนใหญ่โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปืนสั้นขนาด 9 ม.ม. ไม่ค่อยคล่องตัวเมื่อใช้ในพื้นที่ที่คับแคบมากๆ (Very confined space) เช่น ภายในรถยนต์หรือเครื่องบิน เป็นต้น

การเรียนรู้ข้อดีและข้อด้อยของปืนลูกซองทำให้เราสามารถใช้อาวุธชนิดนี้ได้อย่างเหมาะสม

TAS สอนยิงปืนลูกซองระบบต่อสู้เพื่อให้ผู้รับการฝึกสามารถใช้ในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

เรียบเรียงโดย Batman

อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Vang Comp’s Shotgun Wizardry ของ Clint Smith

Thursday, November 19, 2009

NYPD SOP 9 - ANALYSIS OF POLICE COMBAT











NYPD SOP 9 - ANALYSIS OF POLICE COMBAT

ในปี ค.ศ. 1969 แผนก Firearms and Tactics section ของกรมตำรวจนิวยอร์ก (NYPD) ได้คิดที่จะทำการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้อาวุธของตำรวจในสถานการณ์จริง เรียกคำสั่งนี้ว่า SOP 9

การศึกษาเริ่มตั้งแต่ ม.ค. ค.ศ.1970 ถึง ธ.ค. ค.ศ.1979 และรายงานได้รับการเผยแพร่ในปี ค.ศ.1981โดยรวบรวมมากกว่า 6,000 เหตุการณ์

จนถึงช่วงเวลาที่รายงานได้รับการเปิดเผย ปืนส่วนใหญ่ของตำรวจได้มีการเปลี่ยนจากปืนลูกโม่มาเป็นปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ และเงื่อนไขของสถานการณ์ใช้อาวุธปืนก็ค่อยๆเปลี่ยนไปด้วย ผลการศึกษาจะนำไปสู่รูปแบบการฝึกและการตอบสนองเพื่อการป้องกันตัวเองอย่างเหมาะสมจนกว่าจะมีการศึกษาใหม่ๆเพิ่มเติม

- ระยะในการยิงต่อสู้ (Shooting Distances) นับตั้งแต่ ก.ย. ค.ศ. 1854 ถึง ธ.ค. ค.ศ.1979 มีตำรวจ 254 นายเสียชีวิตจากการยิงต่อสู้กับคนร้ายที่มีอาวุธ โดย 90 เปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นในระยะต่ำกว่า 15 ฟุต (ระยะประชิดจนถึง 3 ฟุตมี 34 เปอร์เซ็นต์, ระยะ 3 ถึง 6 ฟุตมี 47 เปอร์เซ็นต์, ระยะ 6 ถึง 15 ฟุตมี 9 เปอร์เซ็นต์) เมื่อศึกษาย้อนกลับไปจนถึงปี ค.ศ. 1929 จำนวน 4,000 เหตุการณ์ พบว่า 75 เปอร์เซ็นต์ เป็นการยิงในระยะต่ำกว่า 20 ฟุต (ระยะประชิดจนถึง 10 ฟุตมี 51 เปอร์เซ็นต์, ระยะ 10 ถึง 20 ฟุตมี 24 เปอร์เซ็นต์)

- สภาพแสง (Light Conditions) ส่วนใหญ่เหตุการณ์เกิดขึ้นในภาวะแสงต่ำ (Poor lighting conditions) แต่ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในภาวะที่มืดสนิท (Total darkness) เลย เป็นที่น่าสังเกตว่าไฟฉายไม่ได้ถูกนำมาใช้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ การยิงปืนในสภาพแสงสลัวๆนั้นมีความแตกต่างจากการยิงในภาวะแสงที่สว่างจ้าเห็นชัด

- อาวุธ (Weapons) อาวุธปืนเป็นอาวุธที่ใช้ทำร้ายตำรวจประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ตำรวจ 254 นายที่เสียชีวิตจากการถูกทำร้ายนั้น 90 เปอร์เซ็นต์เกิดจากอาวุธปืนและมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เกิดจากมีด

60 เปอร์เซ็นต์เกิดจากปืนลูกโม่ โดย 35 เปอร์เซ็นต์เกิดจากปืนลูกโม่แบบพกซ่อน (โครงปืนเล็กลำกล้องสั้น)

- การเล็งปืน (Sight Alignment) 70 เปอร์เซ็นต์ของเหตุการณ์ทั้งหมดไม่มีการเล็งปืน เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานว่าพวกเขาใช้การยิงโดยสัญชาติญาณ (Instinctive or Point shooting) เมื่อระยะห่างระหว่างตำรวจกับคนร้ายเพิ่มขึ้นเริ่มมีรายงานการเล็งปืนมากขึ้น เช่น การใช้แนวลำกล้องปืนชี้ไปที่คนร้ายแล้วมองศูนย์หน้ารวมทั้งการเล็งละเอียด มีประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์จำไม่ได้ว่าได้เล็งหรือยิงโดยสัญชาติญาณ

- การชักปืนเร็ว (Quick Draw) 65 เปอร์เซ็นต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ว่ากำลังจะเกิดเหตุร้าย และได้ชักปืนลูกโม่ (สมัยนั้นนิยมใช้ปืนลูกโม่) ออกมาพร้อมที่จะใช้งานซึ่งในทางยุทธวิธีถือว่าเหมาะสมแล้ว ตำรวจที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มักทำงานในขณะที่อยู่คนเดียวและเผชิญหน้ากับคนร้ายมากกว่าหนึ่งคน

- การคุ้มกัน (Cover) มีเพียงปัจจัยเดียวซึ่งสำคัญที่สุดต่อการมีชีวิตรอดของตำรวจก็คือ การคุ้มกัน ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดตำรวจจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ตามที่ได้ฝึกมา โดยมักจะมีการคุ้มกันรวมอยู่ด้วยถ้าทำได้ แต่มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่เคยฝึกมาก่อน

- ตำเหน่ง (Positions) 84 เปอร์เซ็นต์ตำรวจกำลังยืนหรือนั่งคุกเข่า (Crouch position) ในขณะที่พวกเขายิงปืน

- มือข้างถนัดหรือมือข้างไม่ถนัด (Strong Hand or Weak Hand) เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่ยิงด้วยมือข้างถนัด แม้แต่ในบางสถานการณ์ถ้าหากยิงด้วยมือข้างไม่ถนัดจะมีประโยชน์กว่า ดังนั้นการเน้นให้ฝึกยิงด้วยมือข้างไม่ถนัดอย่างหนักนั้นยังคงเป็นข้อสงสัยอยู่ว่าจำเป็นหรือไม่

- ยิงแบบขึ้นนกหรือไม่ขึ้นนก (Single and Double Action) ปืนลูกโม่ที่ใช้นั้น 90 เปอร์เซ็นต์ยิงโดยไม่ขึ้นนก (Double action) และเกือบจะไม่มีข้อยกเว้นเลย

- การยิงเตือน (Warning Shoot) อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการยิงอย่างต่อเนื่อง การยิงปืนด้วยความแม่นยำจากยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนั้นแถบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้ผู้ยิงจะได้รับการฝึกยิงปืนมาอย่างดีเยี่ยมก็ตาม

การยิงปืนขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้นทำให้สถานการณ์แย่ลง เช่น กระสุนหมดเร็วขึ้นหรืออาจยิงพลาดไปถูกผู้บริสุทธิ์ซึ่งปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน

- การบรรจุกระสุนอย่างรวดเร็ว (Rapid Reloading) จำนวนกระสุนที่ใช้ในการยิงต่อสู้กับคนร้ายที่มีอาวุธนั้นอยู่ที่ 2 ถึง 3 นัดเท่านั้น จำนวนกระสุนนี้คงที่มานานหลายปีตลอดการศึกษาและตรงกับการศึกษาที่ LAPD ซึ่งใช้กระสุนเฉลี่ย 2.6 นัดในการยิงต่อสู้แต่ละครั้ง

ความจำเป็นที่จะต้องทำการบรรจุกระสุนอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บอย่างร้ายแรงนั้นอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ จากผลการศึกษานี้แม้แต่การยิงในระยะใกล้ซึ่งต่ำกว่า 15 ฟุตก็ไม่มีรายงานว่าจำเป็นต้องทำการบรรจุกระสุนอย่างรวดเร็ว

มีเพียง 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีรายงานว่ามีการบรรจุกระสุนใหม่ (Reloading) ซึ่งมักเป็นเหตุการณ์ยิงในการไล่ติดตามคนร้าย หรือคนร้ายอยู่ในที่กำบัง หรือเป็นการยิงในระยะไกลกว่า 25 ฟุต

- ประสิทธิภาพของกระสุน (Bullet Efficiency) จากการศึกษาพบว่าไม่ใช่ขนาดของกระสุน รูปร่างของกระสุน ส่วนประกอบของกระสุน หน้าตัดของกระสุนหรือ ความเร็วของกระสุน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการบอกประสิทธิภาพของกระสุน แต่ตำแหน่งที่โดนกระสุนต่างหากเป็นตัวบอกประสิทธิภาพของกระสุนในการหยุดคนร้ายไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจนต่อสู้ต่อไปไม่ได้

- ความแม่นยำในการยิงต่อสู้ (Hit Potential In Gun Fights) ความแม่นยำในการยิงต่อสู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจดีขึ้นเรื่อยๆทุกปี มาหยุดอยู่ที่มากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์เล็กน้อยเมื่อสิ้นสุดการศึกษา ส่วนความแม่นยำของคนร้ายนั้นอยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี ค.ศ. 1979

ในปี ค.ศ. 1992 ตำรวจโดยรวมๆ (Overall police) มีความแม่นยำประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ ในระยะต่ำกว่า 15 หลาโดย ระยะต่ำกว่า 3 หลายิงถูก 28 เปอร์เซ็นต์, 3 ถึง 7 หลา ยิงถูก 11 เปอร์เซ็นต์, 7 ถึง 15 หลา ยิงถูก 4.2 เปอร์เซ็นต์

- มีความแตกต่างระหว่างความสามารถในการยิงถูกเป้าในสนามยิงปืนกับในสถานการณ์ต่อสู้จริง (The Disconnection Between Range Marksmanship and Combat Hitsmanship) โดยปกติเรามักคิดว่าคนที่ยิงถูกเป้าที่ระยะ 50 หลาได้ในสนามยิงปืน ก็ควรจะต้องยิงถูกคนร้ายที่ระยะ 3 ฟุตอย่างแน่นอน แต่จากรายงานนี้กลับไม่พบว่าเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าเป็นจริงอัตราการยิงถูกเป้าหมายน่าจะสูงกว่านี้ เพราะ 75 เปอร์เซ็นต์เป็นการยิงในระยะต่ำกว่า 20 ฟุต และเมื่อดูในรายละเอียดกว่า 200 เหตุการณ์ ซึ่งผู้ยิงมีฝีมือดีในสนามยิงปืนแต่กลับไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างการยิงแม่นในสนามยิงปืนกับการยิงในสถานการณ์จริง

ในกองทัพสหรัฐได้ตระหนักถึงความไม่สัมพันธ์กันนี้ ดังนั้นในปี ค.ศ. 1988 จึงเริ่มให้ทหารฝึกยิงด้วยสัญชาติญาณ (Point shooting) ในระยะต่ำกว่า 15 ฟุต รวมทั้งการยิงกลางคืนด้วย

การยิงปืนด้วยสัญชาติญาณมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เรียบง่าย เรียนรู้ได้เร็วและมีประสิทธิภาพ

จะเห็นได้ว่าในการยิงปืนต่อสู้ในสถานการณ์จริงนั้นมักเกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว เป็นการยิงในระยะใกล้และมีภาวะแสงต่ำ ใช้วงกระสุนประมาณ 2 ถึง 3 นัดเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติหรือปืนลูกโม่ก็มีวงกระสุนเพียงพอสำหรับใช้ป้องกันตัว การฝึกยิงด้วยสัญชาติญาณมีประโยชน์อย่างมากในการยิงปืนระบบต่อสู้

TAS สอนการยิงปืนระบบต่อสู้ด้วยสัญชาติญาณ ผู้รับการฝึกจะได้เรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้อาวุธปืนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

เรียบเรียงโดย Batman
อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง NYPD SOP 9 - ANALYSIS OF POLICE COMBAT จาก marylandcops.org

Monday, November 9, 2009

Dry Fire











Dry Fire

กระสุนปลอม ที่เราเรียกกันว่า กระสุนดัมมี่ (Dummy bullet) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อทำการฝึกยิงแห้ง (Dry fire) หรือการยิงโดยไม่ใช้กระสุนจริง เพื่อลดโอกาสที่เข็มแทงฉนวนจะหักจากการกระแทก ซึ่งแตกต่างจากกระสุนปลอมที่เราเรียกว่า กระสุนแบล็ง (Blank bullet) ซึ่งสามารถยิงได้แต่ไม่มีหัวกระสุนที่เป็นโลหะพุ่งออกไป (มักใช้กระดาษปิดปลายปลอกด้านหัวกระสุนไว้) และใส่ดินขับที่ไม่แรง จึงมีแต่เสียงดังคล้ายปืนแต่ไม่มีอันตรายมากนัก (ยกเว้นจ่อปากกระบอกปืนชิดหรือใกล้ผิวหนัง อาจทำให้เกิดแรงกระแทกจนเป็นอันตรายได้) มักใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และการฝึกซ้อมทางตำรวจหรือทหารซึ่งต้องการเพียงเสียงดังของอาวุธปืนเท่านั้น

ในการยิงปืนปกติเมื่อทำการเหนี่ยวไกปืน นกสับจะส่งเข็มแทงฉนวนไปกระแทกจานท้ายปลอกกระสุนบริเวณแค็บจุดฉนวน (Primer) เพื่อให้เกิดการระเบิดเผาไหม้ของดินปืนภายในปลอกกระสุนอย่างรวดเร็วส่งหัวกระสุนออกไป การที่มีจานท้ายปลอกกระสุนรองรับเข็มแทงฉนวนไว้ทำให้แรงจากการดีดกลับของนกสับถูกถ่ายทอดไปยังจานท้ายปลอกกระสุนผ่านทางเข็มแทงฉนวน เราจึงเห็นว่าบริเวณแค็บจุดฉนวนที่จานท้ายปลอกกระสุนมีรอยยุบตัวจากเข็มแทงฉนวนที่กระแทกเข้ามา แต่เมื่อทำการยิงแห้งโดยไม่ใส่กระสุนไว้ แรงทั้งหมดจากการดีดกลับของนักสับจะถ่ายทอดไปยังเข็มแทงฉนวนโดยไม่มีตัวรับแรงต่อ เป็นเหตุให้เข็มแทงฉนวนมีอาการล้าตัวและอาจหักได้ในที่สุด

การฝึกยิงแห้งที่เหมาะสมจึงควรใส่กระสุนดัมมี่ไว้ด้วยเพื่อลดโอกาสการหักของเข็มแทงฉนวน โดยกระสุนดัมมี่ที่ดีนั้นบริเวณซึ่งเข็มแทงฉนวนกระแทกควรทำจากวัสดุที่ไม่แข็งมากนัก เช่น ทองเหลือง หรือ ยาง บางแบบอาจมีสปริงอยู่ภายในตัวกระสุนด้วยเพื่อช่วยดูดซับแรงกระแทกของเข็มแทงฉนวน

การฝึกยิงแห้งเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้เกิดทักษะการยิงปืนที่ดี โดยเฉพาะการเหนี่ยวไกปืนอย่างถูกต้องนั้นจำเป็นจะต้องฝึกฝนบ่อยๆจนเกิดความเคยชิน การฝึกยิงแห้งด้วยกระสุนดัมมี่ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและถนอมเข็มแทงฉนวน

ในการฝึกยิงแห้งนั้นก็ยังคงต้องยึดกฎแห่งความปลอดภัยของการใช้อาวุธปืนอยู่ เช่น หันปากกระบอกปืนไปในทิศทางที่ปลอดภัยเท่านั้น เป็นต้น การฝึกยิงแห้งบ่อยๆทำให้เราคุ้นเคยกับปืนที่เราใช้งานประจำสามารถฝึกที่บ้านได้

กระสุนดัมมี่ยังสามารถใช้ฝึกการบรรจุกระสุน ฝึกการแก้ไขเหตุติดขัดระหว่างการยิง ซึ่งทักษะเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งในการยิงปืนระบบต่อสู้ เช่น การฝึกบรรจุกระสุนโดยสายตามองที่เป้าหมายตลอด (ไม่มองที่กระสุนซึ่งกำลังบรรจุ จึงต้องใช้ความรู้สึกที่ปลายนิ้วและการเคลื่อนไหวของนิ้วอย่างแม่นยำจนเกิดความเคยชิน) การที่สายตามองเป้าหมายขณะบรรจุกระสุนช่วยให้เราประเมินสถานการณ์ เห็นความเคลื่อนไหวของภัยคุกคามได้ตลอดเวลา และเมื่อไม่ต้องมองกระสุนขณะบรรจุจึงสามารถบรรจุกระสุนได้แม้ในภาวะแสงต่ำ หากฝึกด้วยกระสุนจริงอาจพลาดทำให้กระสุนตกพื้นเกิดความเสียหายที่ตัวกระสุนได้

กระสุนดัมมี่ที่ไม่มีส่วนพิเศษสำหรับรองรับเข็มแทงฉนวนจึงเหมาะกับการฝึกบรรจุกระสุนเท่านั้น หากนำมายิงแห้งเข็มแทงฉนวนอาจหักจากการที่ไปกระแทกกับโลหะแข็งของปลอกกระสุนได้ แต่กระสุนเหล่านี้มักมีรูปร่างและน้ำหนักเหมือนกระสุนจริงอย่างมาก ส่วนกระสุนดัมมี่ที่ใช้ฝึกยิงแห้งนั้นบางแบบอาจมีน้ำหนักหรือรูปร่างไม่เหมือนกระสุนจริงนัก รวมทั้งวัสดุที่ทำอาจมีความแตกต่างกันได้ เช่น พลาสติก หรือ โลหะ เป็นต้น เราจึงควรเลือกกระสุนดัมมี่ให้ถูกวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

นักยิงปืนที่ดีและเก็งนั้นนอกจากการฝึกยิงปืนที่สนามยิงปืนแล้ว การฝึกยิงแห้งด้วยกระสุนดัมมี่ก็ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาทักษะการยิงปืน

TAS สอนการบรรจุกระสุนโดยให้สายตามองที่เป้าหมายตลอด รวมทั้งสอนวิธีแก้ไขเหตุติดขัดของปืนขณะทำการยิง

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”


เรียบเรียงโดย Batman

Wednesday, November 4, 2009


























ท่ายืนยิงปืนสั้นระบบต่อสู้
3 ท่า

(Isosceles, Weaver, Chapman)

ท่ายืนยิงเหล่านี้เป็นท่ายิงปืนด้วยสองมือที่นิยมใช้กัน โดยทั้งสามท่าเป็นท่ามาตรฐานที่มักสอนกันทั่วไป

- Weaver stance ถูกคิดค้นขึ้นโดย นายตำรวจชื่อ Jack Weaver ชาวอเมริกัน ในช่วง ค.ศ. 1959 ซึ่งเขาแข่งขันชนะเลิศการยิงปืนหลายรายการจนมีชื่อเสียงด้วยท่ายิงที่แตกต่างจากคนอื่น (สมัยนั้นส่วนใหญ่ถือปืนยิงด้วยมือเดียว) จนบิดาของการยิงปืนสั้นสมัยใหม่อย่าง Jeff Cooper แนะนำให้ใช้ท่านี้เป็นหลักในการยิงปืนสั้นด้วยสองมือ (โดยเฉพาะที่สถาบันสอนยิงปืน Gunsite ของ Jeff Cooper)

ผู้ยิงที่ถนัดขวายืนเท้าห่างประมาณไหล่และถอยเท้าขวาไปข้างหลังครึ่งก้าวลำตัวเอียงประมาณ 45 องศาเข้าหาเป้า มือหลักที่ถือปืนยื่นออกไปข้างหน้าและงอข้อศอกเล็กน้อย(เกือบเหยียดตรง) มืออีกข้างจับรอบมือหลักช่วยพยุงปืนโดยงอข้อศอกมากกว่ามือหลักและทิศทางลงล่าง

ในการยิงปืนระบบต่อสู้จะงอเข่าทั้งสองข้างและโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อการทรงตัวที่ดี สามารถทำการเคลื่อนที่ได้ง่ายและควบคุมแรงถีบของปืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ท่ายิงนี้สามารถรับแรงถีบของปืนที่ใช้กระสุนขนาดใหญ่ได้ดีและทำการยิงซ้ำได้เร็ว เป็นที่นิยมอย่างมากในอเมริกาและอีกหลายประเทศ รวมทั้งในภาพยนตร์แนวบู๊ล้างผลาญของฮอลลีวูด

- Chapman stance หรือ Modified Weaver stance ถูกคิดค้นขึ้นโดย นาย Ray Chapman ชาวอเมริกัน เป็นนักยิงปืนในรุ่นราวคราวเดียวกับ Jeff Cooper เขาได้เห็นจุดเด่นของท่า Weaver stance และนำมาดัดแปลงเล็กน้อย โดยให้แขนข้างมือหลักที่ถือปืนเหยียดตรงออกไป เพื่อให้การถือปืนมีความมั่นคงมากขึ้น เนื่องจากใช้กล้ามเนื้อและกระดูกของแขนที่เหยียดตรงช่วยในการคุมปืน ทำให้ท่านี้ใช้ได้ง่ายกว่า Weaver stance ในคนที่กล้ามเนื้อท่อนบนของร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก

ในการยิงปืนระบบต่อสู้จะงอเข่า ย่อตัวลง และโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย นอกจากนั้นหากยกไหล่ข้างมือหลักที่ถือปืนขึ้นแนบแก้มและเล็งด้วยตาข้างเดียวกันจะทำให้แนวปืนมีความแม่นยำมากขึ้น คล้ายกับพานท้ายปืนยาวที่แนบแก้ม มีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อทำการยิงในภาวะแสงต่ำ เพราะหน้า แขน มือ และปืน จะอยู่ในแนวเดียวกันตลอดทำให้รู้ว่าแนวปืนอยู่ที่ใดแม้จะมองไม่เห็นในความมืดก็ตาม

- Isosceles stance คำว่า Isosceles หากแปลตามตัวแล้วหมายถึง มีด้านเท่ากันสองด้าน เช่น สามเหลี่ยมด้านเท่า หรือ Isosceles triangle เป็นต้น สำหรับการยิงปืนแล้วผู้ยิงจะถือปืนด้วยสองมือโดยหันหน้าและลำตัวเข้าหาเป้าหมายหรือประจันหน้ากับเป้าหมายตรงๆ เท้าทั้งสองข้างแยกห่างออกจากกันกว้างประมาณไหล่ของผู้ยิงเข่าและแขนทั้งสองข้างเหยียดตึง ปืนจะอยู่แนวกลางตัวระดับสายตา ท่านี้ได้รับความนิยมตั้งแต่ นาย Brian Enos และนาย Rob Leatham ใช้ท่ายิงนี้ชนะเลิศการแข่งขัน IPSC หลายรายการในปี ค.ศ. 1980

ในการยิงปืนระบบต่อสู้ต้องงอเข่า ย่อตัวลง และโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ศูนย์ถ่วงของลำตัวต่ำลงมีความมั่นคงในการยืนและง่ายแก่การเคลื่อนที่ โน้มตัวส่วนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปมาข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อสามารถรับแรงถีบของปืนได้ดีขึ้น เมื่อทำการยิงหลายเป้าหมายให้หมุนลำตัวส่วนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปหันไปทางเป้าหมายนั้นๆ

ท่านี้ไม่ค่อยนิยมในการยิงระบบต่อสู้มากนักโดยเฉพาะในอเมริกา เพราะการที่หันลำตัวเข้าหาภัยคุกคามโดยตรงเป็นการเปิดกว้างให้เห็นเป้าหมายที่ใหญ่และง่ายแก่การถูกยิงจากภัยคุกคามเช่นกัน (การยิงปืนระบบต่อสู้มักเล็งปืนไปยังเป้าหมายที่ใหญ่ไว้ก่อนโดยเฉพาะลำตัว) อีกทั้งไม่ค่อยสะดวกนักในการที่จะทำการเคลื่อนที่ แต่ผู้เชียวชาญบางท่านคิดว่าท่านี้มีประสิทธิภาพดีกว่า Weaver ในด้านความแม่นยำ และใช้ในการยิงระบบต่อสู้ได้เช่นกัน

อีกทั้งท่านี้กลับได้รับความนิยมในอิสราเอล โดยเฉพาะหลักสูตร Krav Maga ซึ่งใช้ท่านี้เป็นหลัก โดยจะกางขาออกกว้างและงอเข่ามากจนเรียกว่าเป็นท่าขี้ม้าของอิสราเอล (Straddle or Horse stance)

ผู้เชี่ยวชาญบางท่านให้ความเห็นว่า หากใส่เสื้อเกราะกันกระสุน การยิงท่านี้จะปลอดภัยกว่าท่าอื่นซึ่งหันด้านข้างของลำตัวเข้าหาเป้าหมาย เพราะเสื้อเกราะจะแข็งแกร่งเฉพาะด้านหน้าที่ปกป้องลำตัวเท่านั้น

ท่ายิงทั้งสามสามารถใช้ในการยิงปืนระบบต่อสู้ได้ทั้งสิ้น แต่ละท่ามีทั้งข้อดีและข้อด้อย จึงควรฝึกฝนให้ชำนาญเพื่อสามารถเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้เต็มประสิทธิภาพ ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าท่ายิงใดดีที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเพียงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญซึ่งก็ยังแตกต่างกันอยู่ เมื่อเรารู้สึกว่าถนัดกับท่าใดเป็นพิเศษก็ให้ใช้ท่านั้นเป็นหลัก (ท่านั้นจะต้องถนัดในการยิงเป้าหมายหลายระยะ หลายเป้าหมาย เคลื่อนที่ยิงและยิงเป้าเคลื่อนที่)

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

เรียบเรียงโดย Batman

Newcastle limousines