Sunday, December 30, 2012

Women and a Shotgun


Women and a Shotgun

เสียงดังกัมปนาทจากปืนลูกซองเป็นที่น่าเกรงขามยิ่งนัก สีสันในภาพยนตร์ที่เห็นจากการยิงปืนลูกซองมักแสดงถึงการถีบของปืนอย่างเกินความจริง จนคิดว่าจะต้องมีแต่ผู้ชายตัวโตเท่านั้นที่จะยิงปืนลูกซองได้

ความจริงแล้วปืนลูกซองเป็นหนึ่งในอาวุธป้องกันตัวที่ดีสำหรับผู้หญิงเลยทีเดียว เหมือนกับการยิงปืนชนิดอื่นๆหากเราถือปืนอย่างถูกวิธีแล้ว การควบคุมปืนลูกซองขณะทำการยิงก็ไม่ได้หนักหนาเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆจะควบคุมได้

หลายคนเข้าใจว่าการควบคุมปืนลูกซองขณะทำการยิงอยู่ที่การยืนที่มั่นคงเป็นสำคัญ แต่ความจริงแล้วการควบคุมปืนลูกซองส่วนใหญ่เกิดจากลำตัวท่อนบนของร่างกายมากกว่าท่อนล่าง ดังนั้นต่อให้ยืนด้วยขาเพียงข้างเดียวหากรู้จักใช้ร่างกายส่วนบนในการควบคุมปืนอย่างถูกวิธีแล้วก็สามารถทำการยิงปืนลูกซองได้โดยไม่ล้มลงเนื่องจากแรงถีบของปืน

ด้วยเหตุนี้ปืนลูกซองจึงถูกใช้ในหลายบทบาทโดยผู้หญิง ไม่ว่าจะเพื่อการกีฬา สันทนาการ การป้องกันตัว สงคราม งานปราบปราม เป็นที่นิยมทั้งภาครัฐและเอกชน

ดังนั้นคุณผู้หญิงทุกท่านไม่ต้องกลัวการใช้ปืนลูกซอง หากเรียนรู้การใช้งานอย่างถูกต้องแล้วมันจะเป็นเครื่องมือป้องกันตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก เรียกได้ว่าในภาคประชาชนแล้วหาอาวุธที่จะมาต่อกรด้วยได้ยากมาก

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”
                                                                                                เรียบเรียงโดย Batman

Sunday, November 11, 2012

Left-handed Revolver Reload


Left-handed Revolver Reload

ก่อนอื่นคงต้องขออภัยที่ห่างหายการเขียนบทความไปนานเนื่องจากติดภาระกิจสำคัญหลายอย่างติดต่อกัน และต้องเดินทางไปหลายที่ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะเขียนบทความ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้สนใจทุกท่านจะยังคงติดตามผลงานต่อไป ก็ขอเริ่มกันเลยดีกว่า

สาเหตุสำคัญอันหนึ่งซึ่งทำให้คนถนัดมือซ้ายไม่อยากใช้ปืนลูกโม่ เพราะปืนส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาสำหรับคนถนัดมือขวา โดยเฉพาะปืนลูกโม่ (Revolver) มีปุ่มปลดโม่อยู่ด้านซ้ายเท่านั้น ซึ่งโดยเทคนิคการเปิดโม่ที่สอนกันทั่วไปจะใช้นิ้วโป้งมือขวาในการดัน ดึง หรือกดปุ่มนี้เพื่อปลดลูกโม่ออกจากโครงปืน (ขึ้นกับลักษณะของปุ่มปลดโม่แต่ละแบบ) นอกจากนั้นไม่ว่าคนถนัดมือขวาหรือซ้ายก็จะถูกสอนการบรรจุกระสุน การปลดโม่ การคัดปลอกกระสุนออกหลังยิงเสร็จ และการบรรจุกระสุนเข้าโม่ใหม่ ตามวิธีของคนถนัดมือขวาเท่านั้น ซึ่งคนถนัดมือซ้ายอาจทำได้ไม่ดีนัก

หากถามว่า แล้วมีวิธีซึ่งคนถนัดมือซ้ายใช้ได้โดยเฉพาะหรือไม่? คำตอบคือ มี! และมีหลายวิธีด้วย จะขอนำเสนอวิธีหนึ่งซึ่งทำได้ไม่ยากนัก


ขั้นที่ 1 เมื่อทำการยิงเสร็จต้องการเปิดโม่ ให้ใช้นิ้วโป้งหรือนิ้วชี้มือซ้าย ดัน ดึง หรือกดปุ่มปลดโม่ (ขึ้นกับลักษณะของปุ่มปลดโม่) แล้วใช้นิ้วโป้งมือขวาดันลูกโม่ออกจากโครงปืนและวางนิ้วโป้งเอาไว้บนโครงปืน (เพื่อกันไม่ให้ลูกโม่กลับเข้ามาชิดโครงปืน) ส่วนนิ้วอื่นๆก็โอบรอบโครงปืน

ขั้นที่ 2 ตั้งปากกระบอกปืนชี้ขึ้นฟ้าแล้วทำการคัดปลอกกระสุนออกจากลูกโม่โดยการใช้ฝ่ามือซ้ายตบลงไปบนคันคัดปลอกกระสุน

ขั้นที่ 3 หันปากกระบอกปืนลงดิน แล้วนำกระสุนใหม่บรรจุเข้าไปด้วยมือซ้าย หากมีเครื่องช่วยบรรจุ เช่น Speed load, Speed strip หรือ Jet load ก็จะทำได้อย่างง่ายดาย


ขั้นที่ 4 กำด้ามปืนด้วยมือซ้ายแล้วปิดโม่ด้วยมือขวาปืนพร้อมใช้งาน

จะเห็นได้ว่าวิธีนี้ทำได้ง่ายมากสำหรับคนถนัดมือซ้าย โดยส่วนตัวผมยังสอนอีกวิธีหนึ่งด้วย แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ง่ายและใช้ได้ด้วยกันทั้งสิ้น ขอเพียงฝึกฝนให้เกิดทักษะความชำนาญ คนถนัดมือซ้ายก็จะใช้ปืนลูกโม่ได้อย่างไม่มีอุปสรรคและมีประสิทธิภาพเช่นกัน

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

                                                                                                            เรียบเรียงโดย Batman
                    อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Teaching Revolver Reload ของ Marty Hayes

Friday, September 28, 2012

The Rules for Fighting Zombies



The Rules for Fighting Zombies

เราคงเคยดูภาพยนต์ฝรั่งหลายเรื่องเกี่ยวกับศพเดินได้หรือ Zombie บางเรื่องก็สร้างภาคต่อหลายตอนด้วยความนิยม โดย Zombie เหล่านี้จะยากแก่การต่อกรแม้จะถูกยิงหลายนัดก็ไม่สะทกสะท้าน

ในอเมริกาขณะนี้วงการปืนมีการจำลองเป้าหมายเป็น Zombie แล้วเราต้องทำการยิงศพเดินได้เหล่านี้ ความนิยมถึงกับมีบทความเกี่ยวกับวิธีเผชิญหน้ากับ Zombie เทคนิกการยิงต่อสู้กับผีดิบเดินได้ เป้ากระดาษรูป Zombie มีการผลิตกระสุนและเครื่องมือต่อต้าน Zombie ออกมาขายกันอย่างกว้างขวาง แม้แต่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติก็ยังมีการพูดถึงหากต้องเผชิญกับโลกที่เต็มไปด้วยศพเดินได้

นาย Clint Smith คิดว่าเรื่องเหล่านี้เพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น แต่เมื่อมองให้ลึกๆแล้วมันก็แฝงด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับโลกแห่งความจริงได้

หากเปรียบเทียบ Zombie เป็นคนร้ายที่เข้ามาทำร้ายเรา ซึ่งมักจะเลือกเหยี่อที่อ่อนแอกว่า เช่น สูงอายุ ผู้หญิง เด็ก ร่างกายไม่แข็งแรง หรือบาดเจ็บ เป็นต้น

ดังนั้นหากเรามีความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง เราลองคิดดูว่าหากเรามีร่างกายที่อ้วนมากและต้องเผชิญกับภัยคุกคามเราจะเอาตัวรอดได้หรือไม่

การยิงซ้ำ (Double tapping) โดยหลักการแล้วการยิงจะหยุดก็ต่อเมื่อคนร้ายได้หมดสภาพของการเป็นภัยคุกคามแล้วเท่านั้น ดังนั้นจำนวนกระสุนที่ยิงอาจมากกว่าหนึ่งนัด

เลือกคู่หูที่มีอาวุธปืนด้วยกัน หากคุณไปกับคู่หูที่รู้ว่าคุณพกปืนแต่ตัวเขาเองไม่ได้พก เมื่อเผชิญเหตุการณ์ร้ายเขาอาจผลักคุณให้ต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามเพียงลำพัง ดังนั้นการไปกับคู่หูที่มีอาวุธปืนและฝึกฝนด้วยกันก็เป็นความคิดที่ไม่เลว (ในแง่กฏหมายแล้วอเมริกาทำการพกพาอาวุธปืนได้ง่ายกว่าประเทศไทย หากไม่มีเหตุอันควรแล้ว ไม่แนะนำให้พกพาอาวุธปืนติดตัว)

มีคำแนะนำประโยคหนึ่ง คือ “หากรู้สึกไม่แน่ใจ ให้มองหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อน” ฝึกให้มีความตระหนักรู้รอบตัว เชื่อมั่นในทักษะและความสามารถของตนเอง อีกทั้ง “อย่าทำตัวเป็นวีรบุรุษ”

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

                                                                                                เรียบเรียงโดย Batman
                                                            อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Zombies ของ Clint Smith

Thursday, September 6, 2012

An Ultimate Combat Shotgun


An Ultimate Combat Shotgun

ปกติผมไม่ค่อยอยากจะพูดถึงคุณสมบัติของปืนแต่ละกระบอก เพราะมักจะหาอ่านในนิตยสารอาวุธปืนทั่วไปได้ แต่ไม่พูดถึงปืนรุ่นนี้คงจะไม่ได้เพราะมันถือเป็นโฉมใหม่ของปืนลูกซองเลยทีเดียว

ปืนลูกซองที่มีใช้กันในปัจจุบันมีพัฒนาการและเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก แต่มีปืนลูกซองอยู่รุ่นหนึ่งซึ่งถือได้ว่าปฏิวัติวงการปืนลูกซองเลยทีเดียว เพราะมันบรรจุไปด้วยคุณสมบัติที่ดีเลิศของปืนลูกซองในอุดมคติ

AA-12 Combat Shotgun เป็นปืนลูกซองอัตโนมัติ (Fully Automatic Shotgun) ที่มีแรงถีบของปืนน้อยมาก ระบบการทำงานที่เชื่อถือได้และทำจากวัสดุซึ่งแทบไม่ต้องทำความสะอาดปืนเลย อีกทั้งไม่เป็นสนิมอย่างแน่นอน

นาย Jerry Baber ชาวอเมริกันใช้เวลากว่า 18 ปีในการพัฒนาปืนรุ่นนี้ ต่อจากแนวคิดของนาย Maxwell Atchisson ตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนามในปี ค.ศ. 1972 (จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่าปืน Atchisson Assault Shotgun) และขณะนี้มีใช้กันอยู่เฉพาะในกองทัพสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

ปืนนี้สามารถยิงกระสุนลูกซองขนาด 12-gauge ในอัตรา 5 นัดต่อวินาที โดยมีการทำงานที่ราบรื่นไม่มีการติดขัด ระบบการทำงานมีความน่าเชื่อถือสูงมาก ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดทำให้แรงถีบของปืนน้อยมากจนสามารถยิงปืนในระบบอัตโนมัติโดยถือปืนด้วยมือเดียวได้

ปืนรุ่นนี้ผลิตจากเหล็กสเตนเลสชนิดพิเศษที่ใช้กับยานอวกาศซึ่งสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ และสามารถหล่อลื่นตัวเองได้โดยผงคาร์บอนซึ่งเกิดจากกระสุนปืนขณะยิง จากการทดสอบพบว่ายิงปืนนี้จำนวน 9,000 นัดต่อเนื่องโดยไม่ต้องทำความสะอาดหรือต้องหล่อลื่นปืนเลย และไม่พบคราบพลาสติกติดภายในลำกล้องหรือพบเหตุติดขัดของปืนแม้แต่น้อย

ซองกระสุนมีให้เลือกสองแบบ คือ แบบที่บรรจุได้ 8 นัด ซึ่งลักษณะยาวคล้ายกับซองปืนกลทั่วไป และแบบ 20 นัด มีลักษณะกลมคล้ายกับที่ใช้กับปืนกลทอมมี่ในอดีต จึงเรียกว่า 20-rounds tommy gun-style drum อย่างไรก็ตามสามารถยิงหมดได้ภายในเวลาเพียง 4 วินาทีเท่านั้นในโหมดอัตโนมัติ

กระสุนที่ใช้ได้นั้นเป็นขนาด 12 gauge ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไป แต่ที่นิยมใช้กับปืนรุ่นนี้ก็เป็น FRAG-12 (เป็นมาตราฐานกระสุนขนาด 12 gauge ยาว 3 นิ้ว ซึ่งสามารถบรรจุหัวกระสุนได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นหัวระเบิดแรงสูง หัวระเบิดต่อต้านบุคคลแรงสูง เป็นต้น เป็นหัวกระสุนสมัยใหม่ซึ่งออกแบบมาพิเศษ)

ปืนรุ่นนี้ถูกใช้ในสงครามทั้งอิรักและอัฟกานิสถาน อีกทั้งมีการดัดแปลงติดปืน 2 กระบอกไว้กับพาหนะทางทหารซึ่งสามารถเล็ง เพิ่มประสิทธิภาพและความน่ากลัวได้อย่างมากมาย

นัวตกรรมทางอาวุธที่ถือเป็นการก้าวกระโดดนั้นมีไม่มากนัก ปืนรุ่นนี้ถือเป็นหนึ่งในนั้นและควรจับตามองพัฒนการต่อไปของปืนรูปแบบนี้

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

                                                                                                            เรียบเรียงโดย Batman
                                                                        อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง AA-12 Combat Shotgun ของ Loz Blain

Sunday, August 12, 2012

Ammunition Management Techniques


Ammunition Management Techniques

การยิงปืนต่อสู้ป้องกันตัวสิ่งหนึ่งที่ทุกคนอยากให้มีในปืนของเราก็คือ การที่มีกระสุนบรรจุอยู่พร้อมใช้งานให้มากที่สุดตลอดเวลา แน่นอนว่าเมื่อยิงปืนไปแต่ละนัดย่อมทำให้กระสุนปืนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ก็มีเทคนิคบริหารกระสุนปืนขณะยิงที่จะทำให้มีกระสุนพร้อมใช้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

สำหรับปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติซึ่งปกติก็สามารถบรรจุกระสุนได้มากอยู่แล้ว แต่ขณะเผชิญภัยคุกคามร้ายแรงซึ่งมีอาวุธปืนเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รอให้ยิงจนกระสุนหมดแม็กกาซีนสไลด์ค้างแล้วค่อยเปลี่ยนซองกระสุน ที่เราเรียกว่า Emergency Reload หรือ Speed Reload

ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงหลายท่านแนะนำการเปลี่ยนซองกระสุนก่อนที่กระสุนจะหมดแม็กกาซีน เรียกว่า Tactical Reload หรือ Reload with Retention การเปลี่ยนซองกระสุนแบบนี้ทำให้เรามีกระสุนพร้อมใช้งานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยยังมีกระสุนเหลืออยู่ในซองกระสุนซึ่งเราเปลี่ยนออกมาจากปืนเก็บไว้กับตัวอีกด้วย

Tactical Reload มีหลายวิธีทั้งปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติและปืนลูกโม่ (อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง Tactical reload for a pistol วันที่ 27 Oct 2011) Tactical Reload ควรทำขณะที่เราหลบอยู่หลังที่กำบังซึ่งปลอดภัยหรืออยู่ในช่วงที่ตัวเราปลอดภัย ไม่แนะนำเปลี่ยนซองกระสุนแบบนี้ในช่วงที่กำลังทำการยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือด

ถึงแม้ว่าจากการศึกษาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาพบว่าการยิงปืนต่อสู้ในสถานการณ์จริง (ไม่ใช่ในภาวะสงคราม) การยิงปืนต่อสู้มักจบลงอย่างรวดเร็วและวงกระสุนที่ใช้มักไม่เกิน 4 นัด แต่กระนั้นก็ไม่มีการยืนยันจำนวนกระสุนที่ใช้ว่าจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ดังนั้นสำหรับนาย Dave Spaulding แล้ว คิดว่าการใช้ Tactical Reload มีประโยชน์อย่างมาก และควรแก่การฝึกฝนอย่างยิ่ง

เทคนิกการบริหารกระสุนขณะทำการยิงต่อสู้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น Emergency Reload และ Tactical Reload เราสามารถฝึกฝนได้บ่อยๆที่บ้านเพื่อให้เกิดทักษะความชำนาญโดยใช้กระสุนปลอม หรือ Dummy bullets เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งเราควรมีกระสุนสำรองอยู่จำนวนหนึ่งพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

                                                                                                เรียบเรียงโดย Batman
                                                                        อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Reloading Under Fire ของ Dave Spaulding

Saturday, July 14, 2012

Warning Shot


Warning Shot

การยิงปืนขู่หรือยิงเตือน (Warning Shot) เป็นการยิงไปยังตำแหน่งอื่นซึ่งไม่ใช่ภัยคุกคามเพื่อเตือนหรือขู่คนร้าย แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากระสุนนัดนั้นจะไม่ไปถูกสิ่งที่ไม่ควรโดนยิง

ในบางกรณีการยิงปืนขู่หรือเตือนคนร้ายนั้นอาจได้ผลทำให้หยุดชะงักและยอมแพ้ แต่หลายครั้งอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงเสียอีก ตัวอย่างเช่น นายตำรวจท่านหนึ่งในกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ ได้ยินเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ เขาจึงรีบวิ่งไปดูพร้อมกับปืนลูกโม่ขนาด.38 Special 6 นัดอาวุธประจำกายในมือ เขาเผชิญหน้ากับคนร้ายบ้าระห่ำถือมีดยาวในมือทั้งสองข้าง ไล่ฟันผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เลือกหน้า

เขายิงปืนขู่ไปหนึ่งนัดแต่แทนที่คนร้ายจะชะงัก มันกลับวิ่งเข้าใส่นายตำรวจคนนั้นอย่างไม่เกรงกลัว เขายิงขู่ขึ้นฟ้าไปอีกสองนัด แต่ไม่สามารถทำให้คนร้ายเปลี่ยนใจได้ เขาจึงยิงใส่คนร้ายไปด้วยกระสุนที่เหลืออีกสามนัดแต่ก็พลาดเป้า ในที่สุดนายตำรวจคนนั้นก็เสียชีวิต

อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในเขต New England ของอเมริกาเมื่อคนร้ายบุกเข้ามาในบ้าน โดยเจ้าของบ้านซึ่งอยู่ในภาวะตึงเครียดทำให้มองเห็นชัดบริเวณกลางภาพ (Tunnel vision) เล็งปืนสูงขึ้นไปกว่าเป้าหมายและยิงขู่ไปหนึ่งนัด กระสุนกลับพุ่งเข้าใส่ร่างของผู้บริสุทธิ์ซึ่งยืนอยู่บนระเบียงบ้านชั้นบนห่างออกไป

ดังนั้นตำรวจอเมริกามักไม่ยิงปืนขู่หรือเตือนกับคนร้าย และไม่แนะนำให้ประชาชนยิงปืนขู่เช่นกัน แต่ต้องมีเหตุผลซึ่งสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจึงไม่ยิงปืนเตือนก่อน

สำหรับประเทศไทยระบบกฎหมายมีความแตกต่างกับอเมริกาอยู่หลายส่วน บางกรณีเมื่อเกิดขึ้นในอเมริกาอาจไม่มีความผิด แต่สถานการณ์อย่างเดียวกันหากเกิดขึ้นในประเทศไทยอาจต้องติดคุกติดตะราง การยิงปืนขู่หรือเตือนนั้น สำหรับประชาชนอาจยังพอมีที่ใช้ขึ้นกับ...สถานการณ์ ตามความเห็นส่วนตัวไม่ควรยิงเกินหนึ่งนัด เพื่อเก็บกระสุนส่วนใหญ่ไว้ใช้ป้องกันตัว และในหลายกรณีก็อาจไม่จำเป็นต้องยิงเตือนก่อน

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”

                                                                         เรียบเรียงโดย Batman
                                                            อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Warning Shot Misconceptions ของ Massad Ayoob

Friday, June 22, 2012

มารยาทในการนำบทความไปตีพิมพ์


เนื่องจากขณะนี้มีบางสำนักพิมพ์ได้นำบทความในเว็บนี้ไปตีพิมพ์เพื่อทำการค้าโดยมิได้ขออนุญาติผู้เขียนก่อน ซึ่งโดยมารยาทที่ดีไม่ควรกระทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสำนักพิมพ์ดังกล่าวจะได้ตระหนักถึงสิ่งที่ถูกต้องและแก้ไขให้เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม
                                                                                                                                    Batman

Wednesday, June 13, 2012

Tank or Tin


Tank or Tin

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีประสบการณ์ใช้อาวุธปืนต่อสู้กับคนร้ายหลายครั้งจะใช้รถยนต์เป็นเหมือนที่กำบัง หรือหากเราหลบอยู่ภายในรถยนต์จะปลอดภัยจากคมกระสุนของคนร้ายหรือไม่ กระสุนสามารถยิงผ่านกระจกหรือประตูรถได้หรือไม่

ได้มีการทดสอบหนึ่งซึ่งน่าสนใจเกิดขึ้นในทะเลทรายอริโซน่าของสหรัฐอเมริกาเมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นการยิงปืนเข้าใส่ส่วนต่างๆของรถยนต์ด้วยกระสุนและมุมการยิงที่ต่างกัน การทดสอบนี้ใช้กระสุนจริงทั้งปืนกลมือและปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ สำหรับกระสุนปืนสั้นนั้นใช้ขนาด 9 ม.ม. .40 และ .45 ACP กระสุนทุกแบบที่ใช้จะมีการนำมายิง 5 นัดแรกเพื่อหาความเร็วเฉลี่ย และทำการยิงเริ่มจากกระสุนซึ่งมีน้ำหนักหัวกระสุนเบาที่สุดก่อน

ตำแหน่งที่ยิงบนตัวรถจะถูกกำหนดไว้เฉพาะรวมทั้งองศาในการตกกระทบ ผลการยิงประเมินจากอำนาจทะลุทะลวง การแตกกระจายของหัวกระสุนรวมถึงการสะท้อนของกระสุน

ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะผลการทดสอบจากอาวุธปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติ กระสุนที่ใช้ทดสอบ ประกอบด้วย M882 115-gr FMJ (9 m.m.), Speer Gold Dot 124-gr. + P, Speer 165-gr. .40 S&W, Speer 180-gr .40 S&W, ASYM 185-gr. +P TSX hollowpoint, ASYM 230-gr. ball .45 ACP, Speer 230-gr. hollowpoint

สำหรับการยิงกระสุน M882 ( 9 ม.ม.) ผ่านกระจกหน้ารถที่มุม 90 องศา และ 45 องศา สามารถผ่านไปได้อย่างไม่มีปัญหาแต่หัวกระสุนแตกออกเป็นสองชิ้นฝั่งอยู่ที่ตัวเป้าหมาย เมื่อยิงผ่านประตูหรือท้ายรถกระสุนไม่สามารถทะลุผ่านท้ายรถทั้งสองด้านไปได้ไม่ว่าจะยิงที่มุม 90 และ 45 องศา

กระสุน 124-gr.+P Speer Gold Dot (9 ม.ม.) มีประสิทธิภาพดีสามารถยิงผ่านกระจกหน้ารถได้ทั้งมุม 90 และ 45 องศา โดยวิถีกระสุนเบี่ยงเบนไปเพียงเล็กน้อย เมื่อยิงผ่านประตูที่ 90 องศา ก็สามารถผ่านได้โดยไม่แตกเป็นสะเก็ด หากยิงในมุม 45 องศา หัวกระสุนแตกเป็นสะเก็ดเล็กน้อย นอกจากนั้นยังสามารถทะลุผ่านท้ายรถทั้งสองฝั่งไปได้อย่างไม่มีปัญหา

สำหรับกระสุน Speer Gold Dot .40 S&W ไม่ว่าจะเป็นขนาด 165 หรือ 180 gr. มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันเมื่อยิงไปที่รถยนต์ ที่มุม 90 องศา กระสุนสามารถผ่านกระจกหน้ารถไปหยุดที่ที่นั่งผู้โดยสารหลังรถ ส่วนมุม 45 องศา กระสุนผ่านกระจกหน้ารถไปยังเป้าหมายได้อย่างไม่มีปัญหาโดยแนวกระสุนจะเบี่ยงเบนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากยิงไปยังประตูรถที่มุม 90 องศา สามารถทะลุผ่านประตูด้านคนขับแต่ไม่สามารถผ่านประตูด้านผู้โดยสารที่อยู่ติดกันออกไปได้ เมื่อยิงด้วยมุม 45 องศา กระสุนทะลุผ่านประตูด้านคนขับและที่นั่งคนขับแล้วไปหยุดอยู่ในส่วนของที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง อีกทั้งสามารถยิงทะลุผ่านท้ายรถไปได้อย่างราบรื่น

กระสุน .45 ACP เมื่อใช้กระสุน ASYM 230-gr. ball ยิงไปยังกระจกหน้ารถในมุม 90 องศา พบว่าเปลือกนอกที่หุ้มหัวกระสุนแยกตัวออกจากหัวตะกั่วภายใน ซึ่งปรากฏการณ์นี้พบได้บ่อยในกระสุนประเภทนี้ โดยเปลือกมักจะฝั่งอยู่ที่ตัวหุ่นเป้าหมายส่วนหัวตะกั่วผ่านทะลุไปฝั่งยังที่นั่งผู้โดยสาร

เมื่อยิงผ่านกระจกหน้ารถที่มุม 45 องศา เปลือกนอกและหัวกระสุนยิ่งแยกจากกันมากขึ้น หากยิงไปที่ประตูรถในมุม 90 และ 45 องศา กระสุนไม่สามารถผ่านประตูรถเข้าไปภายในได้ แต่กระสุนสามารถทะลุผ่านท้ายรถทั้งสองฝั่งได้

ในกระสุน ASYM TSX 185 +P ยิงผ่านกระจกหน้ารถได้อย่างไม่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นมุม 90 และ 45 องศา เมื่อยิงผ่านประตูหน้ารถที่มุม 90 องศา กระสุนผ่านประตูคนขับไปหยุดที่ประตูด้านผู้โดยสารที่อยู่ติดกัน หากยิงที่มุม 45 องศา กระสุนไม่สามารถทะลุผ่านประตูรถด้านคนขับออกมาได้

เมื่อใช้กระสุน 230-gr. Gold Dot hollowpoint ยิงกระจกหน้ารถที่มุม 90 องศา ได้ดีโดยวิถีกระสุนไม่เบี่ยงเบนเลยและกระสุนไปหยุดที่ท้ายรถ ยิงที่มุม 45 องศา กระสุนทะลุผ่านที่นั่งคนขับไปหยุดยังที่นั่งผู้โดยสารด้านหลัง เมื่อยิงประตูที่มุม 90 องศา กระสุนทะลุได้ทั้งประตูคนขับและประตูผู้โดยสารฝั่งติดกันได้อย่างไม่มีปัญหา ในมุมยิง 45 องศา กระสุนทะลุประตูมาหยุดยังที่นั่งคนขับ แต่กระสุนแตกกระจากออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยมากมายฝั่งอยู่ในตัวเป้าหมายและที่นั่งคนขับ

จากการทดสอบทำให้เราตระหนักได้ว่า รถยนต์เป็นที่กำบังกระสุนปืนสั้นสมัยใหม่ได้ไม่ดีอย่างมาก เหตุการณ์ยิงกันโดยมีเจ้าหน้าที่ตำราจเข้าไปเกี่ยวข้องมักเกิดขึ้นภายในหรือรอบๆรถยนต์ ดังนั้นกระสุนที่มีอำนาจทะลุทะลวงผ่านรถยนต์ได้คงต้องพิจารณาเป็นพิเศษ หากจะใช้รถยนต์เป็นที่กำบังก็ควรรู้ว่าบริเวณใดของรถยนต์ซึ่งพอจะใช้เป็นที่กำบังได้ (อ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง Shooting behind a car วันที่ 16 June 2011)

ผลการทดสอบนี้เป็นเพียงแนวทางในการเลือกกระสุนสมัยใหม่ ประสิทธิภาพของกระสุนปืนขึ้นกับบริษัทที่ผลิต หากใช้กระสุนซึ่งผลิตจากบริษัทอื่นซึ่งมีการออกแบบกระสุนที่แตกต่างออกไป ผลการทดสอบอาจไม่ตรงกับที่กล่าวไปข้างต้น

สำหรับประเทศไทยกระสุนปืนยี่ห้อดังกล่าวหาได้ยากและหลายยี่ห้อไม่มีการนำเข้ามาในตลาดบ้านเรา จึงไม่จำเป็นต้องไปพยายามไขว่คว้าหามาติดปืนให้ได้ กระสุนปืนที่ผลิตในไทยจากบริษัทที่ได้มาตรฐานน่าจะเพียงพอและประสิทธิภาพก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”
                                                                                  
เรียบเรียงโดย Batman
                                                อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง Cars VS. Bullets ของ Chris Lepre

Tuesday, May 29, 2012

The Combative Skills


The Combative Skills

ในการใช้อาวุธปืนต่อสู้เพื่อป้องกันตัวและเอาชีวิตรอดนั้น ความรู้ ทักษะ และจิตใจที่พร้อมรับมือกับภาวะวิกฤติซึ่งมีชีวิตเป็นเดิมพันถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง

ในสถานการณ์ดังกล่าวสิ่งหนึ่งซึ่งต้องตระหนักไว้ก็คือ ยามที่เผชิญหน้ากับภัยคุกคามร้ายแรง สมองและความคิดจะสับสน อีกทั้งความสามารถในการพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบจะลดลง ซึ่งการฝึกอย่างถูกต้องเหมาะสมจะทำให้เราตอบสนองได้ดีขึ้น

ใครก็ตามที่มีประสบการณ์ผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ความมั่นใจในทักษะการต่อสู้ของตนเองเป็นสิ่งเดียวที่ไม่อาจขาดได้

การมีทักษะในการยิงปืนที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มความมั่นใจในการใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันตัว และความสามารถนี้จะเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนทักษะซึ่งมีความเรียบง่ายในการใช้งาน

จากเหตุการณ์และประสบการณ์ในอดีตพบว่าไม่ใช่คนซึ่งชักปืนไวที่สุดหรือยิงได้กลุ่มกระสุนที่ดีที่สุดจะเป็นผู้ชนะและอยู่รอดเสมอไป แต่ผู้ชนะส่วนใหญ่คือ ผู้ซึ่งเตรียมพร้อม ไม่กลัวความเจ็บปวด กล้าที่จะต่อสู้ระยะประชิดกับคนร้าย และไม่ลังเลที่จะต่อกรและสยบภัยคุกคามเบื้องหน้าเมื่อยามที่สถานการณ์ไม่อาจเลี่ยงการใช้กำลังได้

จากประสบการณ์ตลอด 30 กว่าปีของนาย Dave Spaulding ในบทบาทเจ้าหน้าที่ตำรวจและอีก 7 ปีทำงานกับนักโทษในคุกของรัฐ ทำให้เขารู้ว่าพวกอาชญากรคิดอย่างไร ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดสำหรับบุคคลทั่วไปและเจ้าหน้าที่ก็คือ มักเอาความคิดและความรู้สึกของตนเองไปใส่ให้กับอาชญากรร้ายแรง (ซึ่งมักคิดและรู้สึกไม่เหมือนคนทั่วไป) เช่น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งขณะเผชิญหน้ากับคนร้ายที่มีอาวุธปืนในมือ เจ้าหน้าที่ค่อยๆวางปืนของตนเองลงเพื่อให้ดูว่าตัวเขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามกับคนร้ายและต้องการให้สถานการณ์ตึงเครียดน้อยลง แต่กลับถูกคนร้ายยิงใส่

นาย Kelly McCann ผู้ก่อตั้ง Crucible (ศูนย์ฝึกป้องกันตัวในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง) กล่าวไว้ว่า ในการต่อสู้นั้นเราใช้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับทักษะ และอีก 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องของจิตใจและทัศนคติ ทักษะทางร่างกายมีผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจ แต่คุณต้องเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมที่จะใช้ทักษะของคุณเช่นกัน ดังนั้นทักษะทางด้านร่างกายและสภาพจิตใจจึงพึ่งพาซึ่งกันและกันไม่อาจขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้

คำว่า Combative Mindset หมายถึง การเตรียมพร้อมไว้ก่อนโดยอาศัยเหตุผลและสติปัญญา ในการที่จะตอบโต้กลับหรือต่อสู้กลับ เราจะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยประสบการณ์ชีวิต การศึกษาหาความรู้และการฝึกฝน การสอนประชาชนให้มี Combative Mindset ไม่ใช่สอนให้เขาไปข่มเหงใคร แต่เป็นการลงทุนที่ฉลาดสำหรับเตรียมรับมือกับภัยคุกคามอันไม่คาดฝัน

“การเตรียมให้พร้อมไว้ก่อน” เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งทหาร ตำรวจและประชาชนจำเป็นต้องมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองและมีอำนาจเหนือความกลัวเมื่อต้องเผชิญเหตุร้าย

ทักษะในการต่อสู้ (Combative Skills) มีตั้งแต่การใช้คำพูด น้ำเสียง เทคนิคการป้องกันตัวต่างๆ อุปกรณ์ เช่น สเปรย์พริกไทย ไปจนถึงอาวุธที่เป็นอันตรายไม่ร้ายแรง เช่น กระบอง เครื่องจี้ไฟฟ้า ไปจนถึงอาวุธปืนซึ่งมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ในการฝึกฝนเราควรเน้นที่การเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจและร่างกายในการตอบสนองต่อภัยคุกคาม

นาย Dave Spaulding จะถือหลัก 3 S ในการเลือกทักษะหรือเทคนิคที่จะนำมาใช้งานจริง

1.      Simple (เรียบง่าย) เทคนิคที่ครูฝึกสอนนั้นต้องเรียบง่าย ฝึกฝนหรือทำตามได้ไม่ยาก ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนจะทำได้ยากกว่า ดังนั้นเทคนิคที่เรียบง่ายจึงมักใช้ได้ดี

2.      Make Sense (ดูสมเหตุ-สมผล) คุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงถึงแก่ชีวิต ดังนั้นเทคนิควิธีในการรับมือต้องดูสมเหตุ-สมผล ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาว่าเทคนิคนั้นควรทำตามหรือนำมาใช้หรือไม่

3.      Street Proven (ได้รับการพิสูจน์จากการใช้งานจริงมาแล้ว) เทคนิคที่ได้รับการสอนนั้นผ่านการใช้งานจริงมาแล้วหรือไม่ หากเป็นเทคนิคใหม่และไม่เคยมีการใช้งานจริงมาก่อนก็คงต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณามากหน่อยในการจะนำมาใช้

นอกจากนั้นในการป้องกันตัวเราไม่ควรใช้เทคนิคซึ่งไม่คุ้นเคยหรือไม่ชำนาญ เพราะอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่ายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี และเขายังแนะนำอีกว่า คุณควรฝึกให้หนักและตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันตลอดเวลา

สุดท้ายนี้ทุกครั้งที่จับปืนขอให้มี “สติ”
                                                                     
 เรียบเรียงโดย Batman
                                    อ้างอิงเนื้อหาบางส่วนจากบทความเรื่อง The Combative Mind ของ Dave Spaulding

Newcastle limousines